สมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ไฟเขียวร่างนโยบายแก้ปัญหาฝุ่น pm 2.5 เน้น การมีส่วนร่วมทั้งด้าน กฎหมาย นโยบาย การป้องกันและลดต้นเหตุ บริหารจัดการพื้นที่ และ ด้านวิชาการพัฒนา
เมื่อวันที่ 20 ก.ย. นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่าเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก pm 2.5 เป็นปัญหาสุขภาพและเศรษฐกิจของคนในประเทศและภูมิภาค ดังนั้น สช. จึงร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกรมควบคุมมลพิษ ในการจัดประชุมสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น ว่าด้วย การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพซึ่งก่อนหน้านี้มีข้อเสนอจากการหารือกันหลายเวทีกว่า 7 เวที ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา วันนี้จึงเป็นการหาฉันทมติและสรุปเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) พิจารณา เพื่อการขับเคลื่อนระบบต่อไป
ด้าน นายชาญเชาว์ ไชยานุกิจ อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรมและประธานที่ประชุมสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น pm 2.5 เป็นฝุ่นละอองแขวนลอยขนาดเล็กในอากาศ ผ่านการกรองของจมูก เข้าระบบทางเดินหายใจ ส่งผลกระทบต่อการหายใจ หัวใจ และหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 5 ส่งผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจสังคม ท่องเที่ยวและสันทนาการ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของประเทศ ทั้งนี้ฝุ่นเกิดมาจากหลายแหล่ง แหล่งสำคัญคือโรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานอุตสาหกรรม ไอเสียยานพาหนะ การเผาที่โล่งแจ้ง เตาปิ้งย่าง เผาขยะ หมอกควันข้ามแดน เป็นต้น
ทั้งนี้จากการหารือร่วมกันของเครือข่ายสมัชชามาระยะหนึ่งมีข้อสรุปร่วมกันเพื่อจัดทำเป็นร่างนโยบายนำไปสู่การแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง pm 2.5 โดยเฉพาะการเสริมสร้างภาคีเครือข่ายทางสังคม (Network Meeting)และนำเข้าสู่การหารือเพื่อพิจารณาร่วมกันในการประชุมสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยเรื่องการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
นายชาญเชาว์กล่าวต่อว่าสุดท้ายจากการหารือร่วมกันของเราในวันนี้ได้มีมติร่วมกันในการรับรองร่างข้อเสนอนโยบายสาธารณะ ว่าด้วย การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่น pm 2.5 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เป็นไปโดยกระบวนการสมัชชา และเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ2550โดยมุ่งสร้างพื้นที่กลางของทุกภาคส่วนในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมและขับเคลื่อนการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศในทุกมิติครอบคลุมประเด็นด้านกฎหมายและนโยบายด้านการจัดการป้องกันและลดปัญหาจากต้นเหตุที่สำคัญด้านการขับเคลื่อนบริหารจัดการเชิงพื้นที่และชุมชนเป็นพื้นฐานด้านวิชาการพัฒนาองค์ความรู้ข้อมูลและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตกลงร่วมหรือพันธะสัญญานี้ใช้เป็นแนวทางร่วมกันดำเนินการและติดตามอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานและภาคีเครือข่ายสมัชชาสุขภาพทุกภาคส่วน
นายชาติวุฒิ วังวล ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า มติที่ออกมาวันนี้ ทั้งกฎหมาย นโยบาย การจัดการป้องกัน และแก้ไข การขับเคลื่อนเชิงพื้นที่ ในการจัดการปัญหาของตัวเอง และงานวิชาการ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่เป็นกรอบในการดำเนินการของภาคประชาสังคม ภาครัฐ ภาคนโยบายและภาควิชาการ มีพื้นที่ตรงกลางที่ทุกภาคส่วนเต็มใจ และมีส่วนร่วม ที่สำคัญคือการได้เห็นคนทุกเจนเนอเรชั่นมาร่วมกันขับเคลื่อน ถือเป็นความท้าทายของประเทศมาก เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น เพราะต้องขับเคลื่อนและร่วมมือกับเยาวชน คนรุ่นใหม่ รุ่นพี่ เพื่อเรียนรู้งานไปด้วยกัน สอดคล้องกับการทำงานของ สสส. ในศักราชใหม่2565 –2574ที่เน้นขับเคลื่อนการแก้ปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมทั้งทางอากาศขยะและจากอุตสาหกรรมดังนั้นครั้งนี้คิดว่าการขยับเป็นไปในทิศทางที่ภาคส่วนมีส่วนร่วมนั้นเป็นสิ่งสำคัญทดแทนการบ่นทางโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้นำไปสู่การขับเคลื่อนอย่างจริงจัง.