ตัวแทน 12 พรรคการเมืองส่งเสียงพ้อง เสรีภาพในการรวมกลุ่มต้องเป็นของประชาชน การออกกฎหมายหมายหรือนโยบายต้องสนับสนุนไม่ใช่ปิดกั้นควบคุม
ไทยแอ็ค ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคม จัดงานเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “การรวมกลุ่มของประชาชน ในสายตาพรรคการเมือง” โดยมี ทศ ลิ้มสดใส ผู้สื่อข่าว The Reporters เป็นผู้ดำเนินรายการ ถ้าคุณคิดจะลบองค์กรภาคประชาชนไม่ให้มีสิทธิ์มีเสียงออกจากแผนที่ประเทศไทย
แผนที่ประเทศไทยนั่นแหละที่จะถูกลบออกจากแผนที่โลก” ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้กล่าวถึงสถานการณ์ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ว่าเป็นความ ท้าทายอย่างมาก ในการที่ประชาชนจะรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้อง รณรงค์หรือเคลื่อนไหวทางสังคม
โดยปิยนุชได้ตั้งคำถามถึงความพยายามของรัฐบาลในการจะออก พระราชบัญญัติการดำนเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากําไร ซึ่งคล้ายต้องการจำกัด และควบคุมการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมของของประชาชน และบั่นทอนการทำงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร
“ขออย่าได้พยายามที่จะผลักดันกฎหมายมาปิดปากประชาชนและองค์กรภาคประชาสังคม แม้ว่าพวกเขา จะส่งเสียงที่แตกต่างจากผู้นำประเทศก็ตาม” โดยเธอกล่าวต่อว่า หากภาครัฐพยายามที่จะทำลายองค์กร ภาคประชาสังคมจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติที่ตอนนี้ประเทศไทย เป็นเหมือนความหวัง ในภูมิภาคขององค์กรภาคประชาสังคม ท่ามกลางประเทศพื้นบ้านที่กีดกันการทำงานขององค์กรเหล่านี้ โดยปิยนุชมีความหวังว่า
“ขอให้รัฐบาลชุดใหม่ปัดกฎหมายนี้ตกไป ประเทศไทยเป็นความหวังของภูมิภาค ถ้าเกิดมีข้อจำกัดเหล่านี้ ภูมิภาคก็ไม่มีความหวัง เราหวังว่าแผ่นดินไทยจะเป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทองของภาคประชาสังคม ”ในขณะที่สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ได้แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์การคุกคามการรวมกลุ่มทางสังคม ทั้งในประเด็นสิ่งแวดล้อมและ การเมือง ตั้งแต่ยุค คสช. 2557 มีประชาชนถูกดำเนินคดีจำนวนมาก แม้จะสิ้นสุดยุค คสช. ไปแล้ว แต่รัฐบาลที่สืบอำนาจ ก็ยังมีการร่างกฎหมายออกมาเพื่อคุกคาม โดยเฉพาะพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558
“ความสวยงามของประชาธิปไตย คือการเปิดพื้นที่ให้กับคนคิดและแสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา แต่ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคมไทยถูกกล่าวหามาอย่างยาวนาน” โดย หนึ่งในข้อครหาที่ฝ่ายต่อต้าน มักหยิบยกวาทกรรมมาทำลายองค์กรภาคประชาสังคม คือประเด็นเรื่องการรับเงินจากองค์กรต่างชาติ ซึ่งสมบูรณ์ได้อธิบายประเด็นนี้ว่า เป็นเรื่องปกติขององค์กรภาคประชาสังคม เพราะงบประมาณ ในประเทศไทยนั้นมีอย่างจำกัด ขณะเดียวกันของรัฐก็ไม่ได้มีแนวทางชัดเจนในการสนับสนุนทรัพยากรสำหรับแก้ปัญหาที่มีอยากหลากหลาย รวมทั้งอาจไม่ได้มองภาคประชาสังคมเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาประเทศด้วยซ้ำ
ในส่วนความคิดเห็นของพรรคการเมืองทั้ง 11 พรรคนั้น เป็นไปในทิศทางใกล้เคียง หือสอดคล้องกันคือ สนับสนุนการรวมกลุ่มของภาคประชาชน แต่แตกต่างกันออกไปตามนโยบายของพรรคเขตรัฐเหล่า ธรรมทัศน์ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อธิบายถึงความพยายามจะออกกฎหมายควบคุมภาค ประชาสังคมว่า “ไม่ได้ออกมาเพื่อกดขี่ หรืออริดรอนเสรีภาพ ไม่ได้จำกัดการทำงานของประชาสังคม แต่ออกมา เพื่อปกป้องคุ้มครอง โดยเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาการฟอกเงิน แต่การออกแบบกฎหมายมาให้มีขอบเขตที่ กว้างก็เพื่อจะได้เพื่อให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนสำหรับพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะนั้นก็มีไว้เพื่อไม่ ให้ประวัติศาสตร์ความรุนแรงจากการชุมนุมออกมาซ้ำรอย”
ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารพื้นที่ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า “การรวมกลุ่มของประชาชนสามารถทำได้ และควรให้การสนับสนุนพวกเขา แต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมานั้น เป็นเผด็จการซ่อนรูป ที่ใช้กฎหมายมาปิดปากประชาชน และหากนักการเมืองในวันนี้ให้ความสำคัญจริง ๆ กับเสรีภาพของประชาชน ก็ควรจะทำให้ได้ตามที่พูด”
ขณะที่ แทนคุณ จิตอิสระ ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ เน้นว่าทางพรรคให้ความสำคัญกับการชุมนุมมาอย่าง ต่อเนื่อง เขากล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เองก็เคยร่วมกับการชุมนุม ครั้งใหญ่เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษ กรรม เพราะมันคือการใช้สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยโดยตรง แม้ ความพยายามออกกฎหมายการดำนเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากําไร จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลที่มีตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งพรรคเห็นด้วย ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสงสัยไปถึง นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ว่าอาจได้รับคำสั่งมาจากนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นคนนอกพรรคอีกทีเช่นกัน
ด้าน ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เสนอ 3 เรื่องสำคัญคือการมีส่วนร่วมและการรวมตัว คืออุดมการณ์หลักของพรรคก้าวไกล และพรรคมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรวมกลุ่มของประชาชนอยู่ 30 ข้อ ประเด็นหลักอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ, สิทธิของชุมชน, การแก้ไขกฎหมาย SLAPP (ฟ้องปิดปาก) และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ที่สำคัญคือย้ำว่า พรรคก้าวไกล ไม่รับกฎหมายควบคุมภาคประชาสังคม อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าพรรคจะได้เป็นรัฐบาลก็ตาม
ต่อมา สุรพงษ์ พรมท้าว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้แถลงอย่างชัดเจน ไปในทิศทางเดียวกันว่า “พรรคสนับสนุนสองเรื่องคือประชาชนควรมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อจิตสำนึก ประชาธิปไตย และให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่ม เพื่อเป็นการปฏิรูปองค์การทางการเมืองให้มีความ เข้มแข็ง” เช่นกันกับ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการและรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ยืนยันว่า “การมีภาคประชาสังคมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา เป็นหัวใจสำคัญ และประชาสังคมคือ Think Thank และต้องเปิดโอกาสให้ภาคประชาสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศ รวมทั้งประชาธิปไตยจะเข้มแข็งได้ ถ้าหากภาคประชาสังคมเข้มแข็ง แต่ปัญหาในรัฐ บาลชุดที่ผ่านมาคือ กลไกการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งก็เชื่อมโยงกับการที่พรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญหากได้เป็นรัฐบาล”
ขณะที่ตัวแทนจากพรรคการเมืองที่เหลือก็มีความเห็นสอดคลอ้งกัน คือ สูฮัยมี ลือเเบซา ตัวแทน พรรคประชาชาติ ที่พยายามชี้ให้เห็นปัญหาของกฎหมายควบคุมภาคประชาสังคม ซึ่งพรรคของเขาจะไม่ยอมให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาโดยเด็ดขาด เพราะมองว่า จะยิ่งทำให้ฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถควบคุมภาคประชาสังคมให้อยู่ภายใต้พวกเขา โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ภาคประชาสังคมคือกลไกสำคัญในการเข้าถึงคนในพื้นที่
อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า มองว่าการชุมนุมของภาคประชาชน เป็นเรื่อง ที่ต้องส่งเสริม เพื่อให้เกิดการแข่งขันได้อย่างเสรี และไม่ก่อให้เกิดปัญหาทุนผูกขาด ในขณะ เดียวกันรัฐควรเปิดรับข้อมูลจากองค์กรภาคประชาสังคม ไม่ใช่ไปควบคุมแต่ควรที่จะสนับสนุนการทำงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
วสันต์ พานเงิน เลขาธิการพรรคแรงงานสร้างชาติ มองประเด็นนี้ว่า องค์กรภาคประชาสังคมมีส่วน สำคัญในการรวมกลุ่มของประชาชน ดังนั้นเราจึงควรมีภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง ถึงจะมีประชาธิปไตยที่ เข้มแข็งได้
สาวิทย์ แก้วหวาน หัวหน้าพรรคสังคมประชาธิปไตยไทย ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายควบคุมการรวม กลุ่มของประชาชนและพรรคสนับสนุนการรวมตัวกันของประชาชนในทุกรูปแบบ
ฮากิม พงตีกอ รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวชัดเจนว่า พรรคของตนต้องการแก้ไขร่าง กฎหมายควบคุมภาคประชาสังคม ให้เป็นการสนับสนุนและ ให้เสรีภาพต่อองค์กร ภาคประชาสังคม เพื่อสามารถทำงานร่วมกับองค์กรต่างประเทศได้ง่ายขึ้น รวมทิ้งเปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาสังคมระหว่าง ประเทศเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ปิดท้ายการแถลงนโยบาย โดย รศ.ดร. รงค์ บุญสวยขวัญ กรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นว่า สนับสนุนหรือต่อต้านร่างกฎหมายควบคุมภาคประชาสังคม และร่างกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรวม กลุ่มของประชาชน ตัวแทนพรรคพลังประชารัฐบอกเพียงว่า “เราต้องการก้าวข้ามความขัดแย้งและทาง พรรคเห็นคุณค่าของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและประชาสังคม โดยที่ผ่านมาในฐานะพรรค แกนนำ จัดตั้งรัฐบาล ก็ได้เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนนำเสนอร่างกฎหมายเข้าไป สู่ในสภา แต่จะผ่านหรือไม่นั้น ก็เป็นหน้าที่ของภาคประชาสังคม ที่จะต้องโน้มน้าวพรรคการเมืองอื่นด้วยตนเอง”
ทั้งนี้ กิจกรรมเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “การรวมกลุ่มของประชาชน ในสายตาพรรคการเมือง” ครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อรับฟังการนำเสนอนโยบายด้านต่าง ๆ ของพรรคการเมือง โดยจัดมาต่อเนื่องตลอดทุกวันศุกร์เดือนมีนาคม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม(สสป.) ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือรับชมย้อนหลังได้ที่แฟนเพจไทยแอ็ค